พาไปทำความรู้จัก เอบิว หรือ อะบิว (Abiu) ผลไม้แปลกตา เนื้อคล้ายเยลลี่ รสชาติหวาน หอมอร่อย ซึ่งได้รับความสนใจจากแฟนฟาร์มจนอยากหาต้นพันธุ์มาลองปลูกกันเลยทีเดียว
ใครอยากลองปลูก เอบิว เพื่อรับประทานเอง เรามีเทคนิคดี ๆ จากคุณหน่อย – อนุรีย์ ณ สงขลา เจ้าของสวน Berry CU อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา ผู้เขียนหนังสือ My Little Farm Vol.11 เบอร์รี่และไม้ผลเพื่อสุขภาพ มาฝาก
- รู้จักเอบิว อะบิว
- วิธีปลูกเอบิว อะบิว
- การขยายพันธุ์
- การเก็บเกี่ยวและเก็บรักษา
- วิธีปลูกราสป์เบอร์รี่ ในเมืองไทยก็ปลูกได้ ด้วยเทคนิคที่ง่ายกว่าที่คิด
ทำความรู้จัก เอบิว หรือ อะบิว
เอบิวหรือ Yellow Star Apple เป็นไม้ผลเขตร้อน มีถิ่นกำเนิดในแถบอเมริกาใต้ ต้นสูง 8-10 เมตร ออกดอกตามกิ่งก้านและลำต้น สามารถปลูกและให้ผลผลิตได้ดีในเมืองไทย โดยติดผลได้เมื่อต้นมีอายุ 2 ปีขึ้นไป และออกดอกติดผลหลายรุ่นใน 1 ปี
เอบิวเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยแคลเซียมและวิตามินเอ ผลกลมขนาดใหญ่ เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ผิวเรียบ เมื่อผ่าผลชิมเนื้อใน นอกจากมีกลิ่นหอมอ่อน ๆ แล้ว เนื้อผลยังใสและนุ่มคล้ายเยลลี่ รสชาติหวานอร่อยชื่นใจ คล้ายสตาร์แอปเปิ้ล (Star Apple) ที่เมื่อสุกผลเปลี่ยนเป็นสีม่วง แต่เอบิวมีรสชาติหวานกว่าและมีน้ำยางน้อยกว่า
“ในเมืองไทยพบปลูกเอบิวกัน 2 สายพันธุ์ คือ สายพันธุ์จากไต้หวันและสายพันธุ์จากเวียดนาม
“เอบิวสายพันธุ์จากไต้หวัน มีทั้งแบบผลกลมและผลกลมก้นแหลม ผลขนาดกลางถึงใหญ่ น้ำหนัก 300-600 กรัมต่อผล เนื้อผลใสปนขาวขุ่น แน่นไม่เละ รสหวาน มีกลิ่นหอม และมีน้ำยางน้อย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสุกแก่และระยะเก็บเกี่ยวของแต่ละผลด้วย
“ส่วนเอบิวสายพันธุ์จากเวียดนาม ทรงผลยาวและก้นแหลม ขนาดไม่ใหญ่มาก รสชาติหวานน้อยกว่าสายพันธุ์จากไต้หวัน เนื้อผลไม่มีกลิ่นหอม (กลิ่นคาวนิด ๆ) และมีน้ำยางมากคล้ายสตาร์แอปเปิ้ล สำหรับสวน BerryCU เลือกปลูกสายพันธุ์จากไต้หวัน เนื่องจากข้อดีดังกล่าวค่ะ”
ปลูก เอบิว อย่างไรให้ได้กินผล
เอบิวเป็นไม้ผลที่ปลูกง่าย โตเร็ว ชอบดินร่วนระบายน้ำดี แสงแดดตลอดวัน ทนร้อนได้ดี ชอบน้ำแต่ไม่ทนน้ำท่วมขัง สามารถปลูกและให้ผลได้ในกระถางขนาด 18 นิ้วขึ้นไป
การปลูกลงแปลง ควรเว้นระยะปลูกอย่างน้อย 4 x 4 เมตร ในปีแรก ๆ ควรใช้ซาแรนช่วยพรางแสงและนำซาแรนออกในช่วงที่ต้นตั้งตัวได้แล้ว และหมั่นตัดแต่งทรงพุ่มให้โปร่ง เพื่อระบายอากาศภายในทรงพุ่ม ป้องกันแมลงศัตรูพืชมากัดกินใบ
เทคนิคให้น้ำและใส่ปุ๋ย
“สวน BerryCU ให้น้ำวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ส่วนการให้ปุ๋ยเหมือนไม้ผลทั่วไป ปีแรกเน้นให้ปุ๋ยบำรุงต้น เช่น ปุ๋ยคอกมูลวัว ต้นละประมาณ 10 ลิตร (10 กิโลกรัม) โรยรอบทรงพุ่มเดือนละครั้ง และให้เพิ่มขึ้นในปีต่อไป (ตามขนาดต้น) รวมถึงผสมจุลินทรีย์สังเคราะห์แสงให้ไปพร้อมกับระบบน้ำอัตโนมัติ 2 สัปดาห์ต่อครั้ง และฉีดพ่นปุ๋ยน้ำหมักปลา เดือนละ 1 ครั้ง
“เมื่อต้นอายุ 2 ปี เริ่มเห็นการออกดอก จึงเริ่มให้ปุ๋ยเร่งดอกสูตร 8-24-24 ต้นละ 100-200 กรัม โรยรอบทรงพุ่ม เดือนละ 1 ครั้ง สลับกับให้ปุ๋ยคอกมูลวัว และฉีดพ่นปุ๋ยน้ำหมักปลาและแคลเซียมโบรอนทุก 10-15 วัน จนกระทั่งติดผลสมบูรณ์
“เมื่อติดผลแล้วควรห่อผลด้วยถุงตาข่ายเพื่อป้องกันแมลงเข้าทำลาย หมั่นตัดแต่งทรงพุ่มอยู่เสมอเพื่อไม่ให้กิ่งก้านแผ่กระจายและไม่ให้ต้นสูงเกิน 3 เมตร จะช่วยให้การดูแลจัดการง่ายขึ้น”
การป้องกันโรคและแมลงศัตรู
“ป้องกันโดยฉีดพ่นน้ำหมักยาเส้นและน้ำส้มควันไม้ 2 สัปดาห์ต่อครั้ง อย่างสม่ำเสมอ กรณีแมลงระบาด สวนของเราใช้เชื้อราบิวเวอร์เรีย อัตรา 100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตร เติมสารจับใบหรือน้ำยาล้างจาน ฉีดพ่นให้ถูกตัวแมลงหรือบริเวณที่แมลงศัตรูพืชอาศัยให้มากที่สุด โดยฉีดพ่นหลักจากรดน้ำในตอนเย็น”
การขยายพันธุ์
สามารถทำได้ทั้งเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง และเสียบยอด
“การเพาะเมล็ดจากต้นแม่พันธุ์ที่มีผลสมบูรณ์และรสชาติดี ต้นที่ได้จะแข็งแรง ทรงพุ่มสวย มีอัตราการเติบโตเร็วกว่าต้นเสียบยอดและตอนกิ่ง ระยะเวลาการให้ผลผลิตไม่ต่างจากต้นเสียบยอดมากนัก และให้ผลผลิตจำนวนมาก
“การเสียบยอด ต้นที่ได้ให้ผลผลิตเร็ว แต่ไม่แข็งแรงเท่าต้นที่ได้จากการเพาะเมล็ด “การตอนกิ่ง ควรเลือกกิ่งกึ่งแก่กึ่งอ่อน ขนาดไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป จะออกรากได้ดี แต่ไม่ค่อยนิยมใช้วิธีนี้ เนื่องจากกิ่งตอนใช้เวลานานกว่าจะออกราก และเมื่อนำมาปลูก ต้นไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ดังนั้น ส่วนใหญ่จึงนิยมใช้วิธีเพาะเมล็ดและเสียบยอด ซึ่งใช้เวลาปลูกประมาณ 2 ปีขึ้นไปจะเริ่มติดผล”
การเก็บเกี่ยวและเก็บรักษา
“แนะนำให้เลือกเก็บผลที่เปลี่ยนเป็นสีเหลือง และมีสีเขียวอยู่บ้าง เนื่องจากผลเอบิวช้ำได้ง่าย เมื่อเก็บมาแล้วควรนำใส่ตาข่ายโฟมและเก็บในตู้เย็นเพื่อรักษาคุณภาพ รวมถึงเพิ่มรสชาติให้ดีขึ้น โดยรับประทานแบบผลสดจะดีที่สุด ไม่เหมาะกับการแปรรูป
“หากต้องการขนส่ง แนะนำให้นำผลใส่ในตาข่ายโฟม 2 ชั้น และรองด้วยบรรจุภัณฑ์กันกระแทก จะช่วยไม่ให้ผลช้ำเสียหาย และคงคุณภาพดีจนถึงปลายทางค่ะ”
เรื่อง : อังกาบดอย
เอื้อเฟื้อภาพ : คุณอนุรีย์ ณ สงขลา