มะเดื่อฝรั่ง เป็นผลไม้หนึ่งใน Super food ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในหมู่คนรักสุขภาพ และ ยังเป็น 1 ใน 10 ผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ในประเทศไทยถือว่ามีผู้สนใจมะเดื่อฝรั่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งปลูกเชิงพาณิชย์ และ ปลูกไว้รับประทานเอง
แต่กว่าจะปลูก มะเดื่อฝรั่ง เพื่อเก็บผลผลิตได้นั้น ต้องรู้มากกว่าแค่วิธีปลูก เพราะยังมีเรื่องของการตัดแต่งกิ่ง การขยายพันธุ์ ลักษณะผลของมะเดื่อฝรั่งที่แตกต่างจากผลไม้ทั่วไป ศัตรูของมะเดื่อฝรั่งที่ต้องเจอ รวมถึงสายพันธุ์สำหรับผู้ที่ริเริ่มปลูก ที่อยากให้รู้ก่อนเริ่มปลูกมะเดื่อฝรั่ง

1 I รู้จักกับ มะเดื่อฝรั่ง
มะเดื่อฝรั่งหรือ ฟิก (Figs) จัดเป็นพืชวงศ์เดียวกันกับต้นหม่อน และ อยู่ในตระกูลเดียวกับต้นโพธิ์ ไทร รวมไปถึงมะเดื่อไทย เป็นพื้นเมืองในแถบประเทศตะวันอกกลางหรือแถบเมดิเตอร์เรเนียน แต่มีถิ่นกำเนิดในเอเชียตะวันตก เป็นผลไม้ขนาดเล็ก ลำต้นสูงได้ถึง 6 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงเวียนรอบลำต้น ขอบใบหยักเป็นแฉก

2 I ลักษณะของผล มะเดื่อฝรั่ง
ผลมะเดื่อฝรั่งที่ทุกคนเห็นนั้น เป็นส่วนของฐานช่อดอก ที่ห่อหุ้มช่อดอกไว้ด้านใน ภายในผลนั้นจะมีดอกขนาดเล็กเรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก และ ด้านปลายผลหรือก้นผลจะมีช่องว่างเล็กๆ ที่ให้แมลงชนิดหนึ่งที่เรียกว่าตัวต่อมะเดื่อเข้าไปวางไข่ และ ช่วยผสมเกสร และ จะเจริญเติบโตเป็นเมล็ดเล็กๆอยู่ภายในผล แต่มะเดื่อฝรั่งที่ปลูกในปัจจุบันไม่ต้องอาศัยแมลงในการผสมเกสร ผลก็สามารถพัฒนาจนสุกแก่ได้

3 I สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ในประเทศไทยเริ่มมีการปลูกมะเดื่อฝรั่งกันอย่างแพร่หลาย สามารถเจริญเติบโตได้ในทุกพื้นที่ ต้องการแสงแดดเต็มวันหรืออย่างน้อยครึ่งวัน ชอบน้ำแต่ไม่ชอบน้ำขัง เพราะจะทำให้รากเน่าหรือเกิดเชื้อราเข้าทำลายได้ ดังนั้นวัสดุปลูกต้องระบายน้ำได้ดี ไม่อัดแน่นมีช่องว่างภายในดิน หากปลูกลงแปลงควรปรุงดินด้วยปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก เพื่อปรับโครงสร้างดินให้มีความโปร่ง หรือถ้าปลูกลงกระถางหรือภาชนะอื่นๆ ก็ควรเลือกวัสดุปลูกที่มีการระบายน้ำได้ดี มีอินทรียวัตถุสูง

4 I การขยายพันธุ์มะเดื่อฝรั่ง
การขยายพันธุ์มะเดื่อฝรั่ง สามารถทำได้หลายวิธี ทั้งปักชำกิ่ง เพาะเมล็ด แต่วิธีที่นิยมใช้คือการตอนกิ่ง การเสียบยอดและ การติดตา เพราะเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด ต้นพันธุ์ที่ได้จากการตอนกิ่ง และ การเสียบยอดจะมีความแข็งแรง และ เจริญเติบโตได้ดี เมื่อกิ่งตอนมีการเกิดราก และ ระบบรากเติบโตเต็มตุ้มตอน ก็สามารถย้ายปลูกได้ แต่ถ้าเป็นต้นพันธุ์ที่ได้จากการเสียบยอด และ ติดตา เมื่อมีการแทงยอดใหม่หรือมีการเจริญเติบโตของใบมากกว่า 3-5 ใบจึงจะสามารถย้ายปลูกได้

5 I รูปแบบการปลูก มะเดื่อฝรั่ง
การปลูกมะเดื่อฝรั่งในทางการค้านั้น มีทั้งแบบปลูกลงแปลงกลางแจ้ง และ ปลูกในโรงเรือน การปลูกทั้งสองแบบนี้จะปลูกในบ่อวงซีเมนต์หรือบ่อวงล้อยาง จะไม่ปลูกลงดินโดยตรง เพราะจะดูแลยากกว่า สามารถควบคุมระบบน้ำ และ ปุ๋ยได้ การปลูกลงแปลงกลางแจ้งข้อดีคือประหยัดต้นทุนในการสร้างโรงเรือน เหมาะสำหรับพื้นที่มีอากาศดี ต้นมะเดื่อได้รับแสงแดดเต็มที่ แต่เมื่อถึงฤดูฝนนั้นจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากในเรื่องของคุณภาพของผลผลิต เพราะในช่วงฤดูฝน รสชาติของมะเดื่อฝรั่งจะไม่หวานเหมือนฤดูอื่นๆ เพราะปริมาณน้ำที่มาก ปริมาณน้ำที่มากนั้นยังทำให้ผลแตก และ เสี่ยงต่อการเข้าทำลายของโรค และ แมลงอื่นๆอีกด้วย
แต่การปลูกในโรงเรือนนั้นจะมีต้นทุนเรื่องการสร้างโรงเรือนที่เพิ่มขึ้น แต่จะเป็นผลดีในระยะยาว สามารถควบคุมโรค และ แมลงที่จะเข้ามาทำลายได้ ลดความเสียหายของผลผลิตที่จะเกิดในช่วงฤดูฝนได้ และ รสชาติของผลก็ยังคงเดิม

6 I การดูแลและบำรุงมะเดื่อฝรั่ง
ต้นพันธุ์ที่นำมาปลูกต้องเป็นต้นที่แข็งแรงไม่มีโรค แมลงติดมาด้วย และ ต้นพันธุ์นั้นควรมีอายุมากกว่า 2 เดือนขึ้นไป หลังจากปลูกดูแลรดน้ำอีกประมาณ 6 เดือนก็จะเริ่มให้ผลผลิต หรือบางสายพันธุ์ถ้าได้รับการดูแลอย่างดี ต้นสมบูรณ์ก็จะให้ผลผลิตเร็วกว่านั้น ระบบน้ำจะให้แบบน้ำหยดหรือแบบสปิงเกอร์ และ บำรุงด้วยปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 หรือ 16-16-16 สลับกับการให้ปุ๋ยหมักเดือนละครั้ง ซึ่งการบำรุงก็ขึ้นอยู่กับดินที่ปลูกหรือวัสดุที่ใช้ปลูกหากมีธาตุอาหารเพียงพอก็ไม่ต้องบำรุงมาก

7 I ศัตรูของมะเดื่อฝรั่ง
มะเดื่อฝรั่งเป็นพืชที่มีศัตรูรบกวนน้อยมาก แต่ช่วงที่ควรระวังคือ ฤดูฝน เนื่องจากเป็นช่วงที่ความชื้นสูงเหมาะกับการเข้าทำลายของโรค และ แมลง ส่วนใหญ่ที่พบก็จะเป็นพวกหนอนเข้าทำลายใบ และ ผล ไส้เดือนฝอยที่จะเข้าทำลายระบบราก และ ก็มีพวกเชื้อราเข้าทำลายใบแต่พบเป็นส่วนน้อย ซึ่งศัตรูเหล่านี้สามารถป้องกันได้ด้วยการสำรวจแปลงอยู่บ่อยๆ ถ้าหากพบก็เก็บออกจากแปลง และ นำไปทำลาย หรือฉีดพ่นสารชีวภัณฑ์ป้องกันเมื่อเข้าสู่ฤดูฝน นอกจากนี้ถ้าเราไม่ห่อผลด้วยตาข่ายก็จะมีนก กระรอกที่มักจะแอบมากัดกินผลมะเดื่อฝรั่งของเราได้

8 I สายพันธุ์ที่ปลูกง่ายให้ผลผลิตดี
ปัจจุบันมะเดื่อฝรั่งที่ปลูกในประเทศไทยมีหลากหลายสายพันธุ์มาก เพราะสภาพอากาศของประเทศเราสามารถปลูกผลไม้ชนิดนี้ได้ และ ให้ผลผลิตดี ซึ่งสายพันธุ์ที่นิยมปลูกกันมากได้แก่ พันธุ์อิรักกี้ (Iraqi) เป็นพันธุ์ที่เจริญเติบโตเร็ว ให้ผลผลิตเร็ว ทนต่อสภาพแวดล้อมต่างๆได้ดี ระบบรากหาอาหารเก่ง พันธุ์โคนาเดีย (Conadria) ผลมีขนาดใหญ่ เมื่อสุกจะมีสีเขียวอมเหลือง ใบมีกลิ่นหอมมากนิยมนำมาทำเป็นชา พันธุ์ซาฟิโร่ (Zaffiro) เป็นสายพันธุ์ที่มาจากอิตาลี ผลมีขนาดใหญ่มาก เมื่อสุกจะมีสีดำ พันธุ์ไวท์อิสราเอล (White Israel) เป็นอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่ปลูกง่าย พันธุ์คุโรมิสึ (Kuromitsu) ให้ผลขนาดใหญ่ และ จำนวนมาก ผลจะเปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อสุก

9 I มะเดื่อฝรั่งมีคุณค่าทางโภชนาการที่สูง
มะเดื่อฝรั่งเป็นผลไม้ที่กำลงเป็นที่นิยมในตอนนี้ เนื่องมีรสชาติหอมหวานเป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆ ส่วนใหญ่นิยมรับประทานผลสด มะเดื่อฝรั่งยังมีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีเส้นใยอาหารสูงช่วยในเรื่องการขับถ่าย มีวิตามิน A ที่ช่วยบำรุงกระดูก และ ฟัน บำรุงสายตา มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบำรุง ผิวพรรณ มะเดื่อฝรั่งมีน้ำตาลสูง และ มีน้ำตาลที่เป็นประโยชน์ต่อร่างรวมอยู่ จึงช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้

10 I มะเดื่อฝรั่งกับการสร้างรายได้
ผลสดของมะเดื่อฝรั่งเป็นที่ต้องการมากในกลุ่มคนรักสุขภาพ หรือแม้แต่คนทั่วไป ราคาประมาณ 200-800 บาทต่อกิโลกรัม หรือบางสายพันธุ์ราคาอาจสูงกว่านี้ นอกจากผลสดแล้วกิ่งพันธุ์หรือต้นพันธุ์ก็ยังเป็นที่ต้องการของผู้ที่สนใจปลูกอีกด้วย ซึ่งราคาก็แตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ และ ขนาดของต้น โดยราคาจะเริ่มต้นตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันเลยก็มี