นอกจากปลูกพืชผัก ปลูกผลไม้แล้ว การเลี้ยงหมูหลุม ก็เป็นหนึ่งในอาชีพที่เกษตรกรที่ให้ความนิยมเป็นอย่างมากในสมัยก่อน แต่ปัจจุบันการเลี้ยงหมูนั้นมีปัจจัยที่ทำได้ยาก ทั้งเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้น ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเรื่องการส่งกลิ่นรบกวน
ซึ่งปัญหาของการเลี้ยงหมูเหล่านี้สามารถลดลงได้ โดยการเปลี่ยนวิธีการเลี้ยงแบบใหม่ แบบเกษตรกรในประเทศเกาหลี ที่มี การเลี้ยงหมูหลุม แบบขุดหลุมแล้วมีวัสดุรองพื้น มีวัสดุจากธรรมชาติเป็นอาหารแทนอาหารสำเร็จรูปที่มีต้นทุนสูง
การเลี้ยงหมูหลุมนอกจากจะได้หมูไว้ขายแล้ว วัสดุที่รองพื้นหลุมยังเป็นปุ๋ยคอกชั้นดีที่ได้รับการหมักเรียบร้อยพร้อมนำมาเป็นวัสดุปลูกต้นไม้หรือเป็นปุ๋ยเพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้กับต้นไม้ได้อีกด้วย

การเลี้ยงหมูหลุม คืออะไร?
“หมูหลุม” คือลักษณะของการเลี้ยงหมูแบบชาวบ้าน โดยการขุดหลุมให้ลึกและมีวัสดุรองพื้นหลุม เป็นการเลี้ยงหมูแบบธรรมชาติ ที่มีต้นแบบมาจากเกษตรกรในประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นการเลี้ยงหมูแบบคำนึงถึงความยั่งยืนของธรรมชาติ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเลี้ยงหมูวิธีนี้เป็นการเลี้ยงแบบ Natural Pigs Farming
ในประเทศไทยมีการเลี้ยงหมูหลุมในหลายพื้นที่ เริ่มมาจากอาจารย์โชคชัย สารกิจ ศูนย์การเรียนรู้การพัฒนายั่งยืนภาคเหนือ ที่จังหวัดเชียงราย เป็นผู้ริเริ่มการเลี้ยงหมูแบบธรรมชาติ และแพร่หลายไปยังหลายพื้นที่ในประเทศไทย
ข้อแตกต่างระหว่างหมูหลุมกับหมูฟาร์ม
หมูหลุมจะเน้นการเลี้ยงแบบเกษตรอินทรีย์ เลี้ยงแบบธรรมชาติ เป็นโรงเรือนเปิด อากาศถ่ายเทสะดวก หมูจะอารมณ์ดีและไม่เครียด อีกอย่างการเกิดบาดแผลจะน้อยกว่าหมูฟาร์ม เพราะพื้นคอกมีวัสดุรองพื้นที่อ่อนนุ่มด้วย แกลบ หรือฟางข้าว เป็นพื้นคอก เมื่อหมูวิ่งเล่นวัสดุเหล่านั้นก็จะช่วยลดการกระแทกลงได้ ลดโอกาสการเกิดโรคหรือการติดเชื้อบริเวณแผล รวมถึงไม่ต้องมีระบบระบายของน้ำเสีย ส่วนหมูที่เลี้ยงในระบบนี้จะไม่ตัดหาง ไม่ตัดฟันของหมู

การเริ่มต้นเลี้ยงหมูหลุม
เกษตรกรรายเล็กๆ ที่อยากหารายได้เสริมนอกเหนือจากการปลูกพืช การเลี้ยงหมูหลุมสามารถทำได้ เนื่องจากมีการจัดการที่ไม่ยุ่งยาก ทั้งเรื่องการดูแล อาหาร ล้วนแล้วแต่สามารถทำได้เองโดยไม่ต้องลงทุนสูง การเลี้ยงหมูหลุมจะช่วยลดรายจ่ายค่าอาหารหมูได้ 50-70% เพราะส่วนใหญ่อาหารที่ใช้เลี้ยงจะเน้นใช้วัตถุดิบที่หาได้จากท้องถิ่น
แต่ผู้ที่สนใจต้องศึกษาหาความรู้ก่อน สอบถามจากผู้รู้ หรือเข้ารับการอบรมการเลี้ยงหมูหลุมจากหน่วยงานที่เปิดอบรม เพราะว่าการเลี้ยงหมูหลุมนั้นมีขั้นตอนหลายขั้น เนื่องจากเป็นการเลี้ยงแบบธรรมชาติ ผู้เลี้ยงจึงต้องเรียนรู้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างคอก การให้อาหาร การดูแล และการจำหน่าย

การสร้างคอกหมูหลุม
สิ่งที่ต้องคำนึงในเรื่องแรกก่อนสร้างคอกหมูหลุม คือ พื้นที่ของคอกต้องเป็นพื้นที่ที่น้ำไม่ท่วมขัง วัสดุที่นำมาสร้างเป็นคอกและโรงเรือน ควรเป็นวัสดุที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น หรือถ้าอยากสร้างให้ถาวรควรใช้วัสดุที่มีความแข็งแรง อย่างเช่นคอกที่ก่อขึ้นจากปูน ความกว้างของคอกอย่างน้อย 1.2-1.5 ตารางเมตรต่อหมู 1 ตัว ปกติแล้วเกษตรกรจะเลี้ยงครั้งละประมาณ 4-6 ตัวต่อคอก ภายในคอกต้องขุดหลุมให้ลึกประมาณ 90 เซนติเมตร ด้านข้างคอกก่อด้วยอิฐบล็อกให้สูงจากขอบหลุมประมาณ 1 เมตร และต้องมีหลังคาเพื่อป้องกันแสงแดดและฝน
แต่ในปัจจุบันการเลี้ยงหมูหลุมมีการปรับเปลี่ยนให้เข้ากับพื้นที่ที่จะเลี้ยง จากการขุดหลุมก็เปลี่ยนเป็นกั้นคอกพื้นปูนคล้ายกับเลี้ยงหมูทั่วไป แต่จะต่างกันตรงที่การดูแล และการเลี้ยงหมูหลุมจะไม่มีเรื่องน้ำเสีย และกลิ่นที่เป็นปัญหา คอกหมูหลุมจะต้องมีรางอาหาร จุดให้น้ำ และวัสดุรองพื้น ตัวคอกจะก่อด้วยปูนสูงประมาณ 80 เซนติเมตร เสริมด้วยคอกที่เป็นเหล็กอีกประมาณ 50 เซนติเมตร ขนาดคอกก็ประมาณ 10-16 ตารางเมตร

วัสดุที่ใช้รองพื้นหลุม
สามารถใช้วัสดุที่หาได้ง่ายจากท้องถิ่น เช่น ฟางข้าว กาบมะพร้าวสับ ขุยมะพร้าว แกลบดิบ ขี้เลื่อย อย่างใดอย่างหนึ่งผสมกับดิน หรือจะไม่ผสมดินก็ได้ และราดด้วยน้ำหมักจุลินทรีย์ วัสดุรองพื้นจะสูงประมาณ 60-90 เซนติเมตร ซึ่งวัสดุเหล่านี้จะดูดซับน้ำและความชื้นได้สูงมาก จึงทำให้ไม่มีน้ำเน่าเสียในระบบการเลี้ยงหมูแบบนี้ อีกทั้งวัสดุรองพื้นจะช่วยให้ความอบอุ่นแก่หมู และลดการกระแทก ลดการบาดเจ็บของหมูได้ ถ้าหากหมูเกิดการบาดเจ็บก็จะนำไปสู่การเกิดโรคต่างๆ

การเลี้ยงหมูหลุมให้ไร้กลิ่น
มูลของหมูที่ส่งกลิ่นเหม็น จะถูกกำจัดด้วยจุลินทรีย์ ซึ่งจุลินทรีย์เป็นเครื่องมือที่สำคัญในการเปลี่ยนจากของเสียให้เป็นของที่มีประโยชน์ สำหรับการทำเกษตรอินทรีย์เราจะได้ยินคำว่าจุลินทรีย์อยู่บ่อยครั้ง เพราะมีบทบาทต่อการนำมาใช้ไม่ว่าเป็นในบทบาทของการส่งเสริมการเจริญเติบโตของพืช หรือบทบาทที่เป็นตัวป้องกันกำจัดเหล่าศัตรูพืชต่างๆ
แต่สำหรับการเลี้ยงหมูหลุม จุลินทรีย์มีบทบาทในการย่อยสลาย เศษซากพืชที่เป็นอาหารของหมูที่หมูไม่สามารถย่อยสลายได้ จะมีจุลินทรีย์บางชนิดที่สามารถย่อยเศษซากนั้นให้อยู่ในรูปที่เป็นประโยชน์ต่อไปได้ นอกจากนี้แล้วจุลินทรีย์บางชนิดมีบทบาทเป็นโพรไบโอติกส์ที่ช่วยย่อยอาหาร บางชนิดสามารถทำลายเชื้อก่อโรคได้ บางชนิดเป็นตัวสร้างวิตามิน แร่ธาตุต่างๆ
ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้จะได้มาจากสารสกัดจากธรรมชาติหรือสารสกัดสมุนไพร ที่ได้จากการหมักบ่มด้วยจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ มีกระบวนการหมักและระยะเวลาที่เหมาะสม นอกจากนี้น้ำหมักผลไม้จะช่วยลดกลิ่นของมูลหมูได้ โดยจะใช้ผลไม้ที่มีรสชาติเปรี้ยวหวาน อย่างเช่น มะเฟือง ส้ม ผสมกับน้ำตาลทรายแดง อัตราส่วน 1:1 หมักทิ้งไว้ 7 วัน
การทำจุลินทรีย์เพื่อให้แทนยาปฏิชีวนะ ซึ่งจะใช้ข้าวหุงสุก 1 กิโลกรัม ใส่กล่องไม้แล้วใช้กระดาษปิดกล่อง จากนั้นใช้ถุงพลาสติกคลุมอีกชั้นเพื่อกันน้ำเข้า นำไปวางในที่ที่มีจุลินทรีย์ราใบไม้สีขาว ซึ่งสามารถหาได้ตามธรรมชาติ จะมีมากบริเวณกอไผ่หรือตามเศษซากใบไม้ต่างๆ วางทิ้งไว้ 3-5 วัน ข้าวที่เรานำไปวางก็จะมีราวสีขาวขึ้น จากนั้นก็นำไปผสมกับน้ำตาลทรายแดง หมักทิ้งไว้ในโหล 7 วันก็สามารถใช้ได้ ทั้งน้ำหมักผลไม้และจุลินทรีย์ราขาวนำมาผสมน้ำแล้วใช้ฉีดพ่นให้ทั่วคอกหมู หรือฉีดพ่นใส่ที่ตัวหมูได้เลย

อาหารที่ใช้ใน การเลี้ยงหมูหลุม
วัตถุดิบที่ใช้เป็นอาหาร เป็นวัตถุดิบที่หาได้จากท้องถิ่น อย่างปลายข้าว รำข้าว ข้าวโพดป่น กากถั่ว ที่มีทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และเสริมด้วยถั่วอบที่มีความหอม เพิ่มความอยากอาหารให้หมูเพิ่มขึ้น และยังช่วยสร้างไขมันที่ดีให้หมูได้อีกด้วย ซึ่งสูตรนี้จะเรียกว่าอาหารข้นหรือหัวอาหาร
หรือจะใช้หยวกกล้วยหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วผสมกับน้ำตาลและเกลือ คลุกเค้าให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ 5-7 วัน อันนี้จะเรียกว่าอาหารหมัก จะช่วยให้หมูถ่ายได้สะดวก ถ่ายไม่เป็นก้อนแข็ง ทำให้หมูมีสุขภาพที่ดี
อัตราการให้คือ จะให้อาหารหมัก 1 ส่วน และอาหารข้นหรือหัวอาหาร 1 ส่วน และจะให้วันละ 2 ครั้ง ช่วงเช้าและช่วงเย็นของทุกวัน นอกจากนี้เศษอาหารที่เหลือทิ้งจากในครัวเรือนก็สามารถนำมาเป็นอาหารแก่หมูได้อีกด้วย

ข้อดีของ การเลี้ยงหมูหลุม
- ประหยัดต้นทุนในเรื่องค่าอาหารมากถึง 70% เพราะส่วนใหญ่เน้นอาหารที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น
- ลดการใช้ยาปฏิชีวนะ เพราะการเลี้ยงหมูหลุมจะเน้นการใช้จุลินทรีย์ธรรมชาติในการป้องกันโรค และสร้างภูมิต้านทานให้กับหมู
- ความปลอดภัยของผู้บริโภค เนื้อของหมูหลุมจะมีคุณภาพดี ไม่มีสารเคมีตกค้าง เพราะหมูหลุมจะไม่ผ่านการฉีดยา หรือฉีควัคซีนใดๆ
- การเลี้ยงหมูหลุมจะไม่มีปัญหาเรื่องระบบน้ำเสียและเรื่องกลิ่นรบกวน ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะอาหารที่ให้หมูกิน การย่อยสลายมูลหมูโดยจุลินทรีย์ส่งผลให้ไม่ส่งกลิ่นเหม็น
- ได้ปุ๋ยจากวัสดุรองพื้นคอก ใช้ปลูกผักหรือเอาไปใส่บำรุงต้นไม้ให้เจริญเติบโตได้ดี และยังสามารถจำหน่ายเป็นรายได้เสริมอีกด้วย
เรื่อง : สรวิศ บุญประสพ
อ้างอิง : กรมปศุสัตว์, สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ, หมูหลุมดอนแร่ฟาร์ม
หมูแคระพอตเบลลี่ เลี้ยงอย่างไรให้เป็นเพื่อนคู่ซี้ที่รู้ใจ
เล้าสารพัดสัตว์ปีก เป็ด ไก่ ห่าน หมู เลี้ยงรวมกันได้ที่ Prem Farm