หากใครที่กำลังคิดอยากปลูกผักสวนครัว แต่ไม่มีพื้นที่สำหรับปลูก ปัจจุบันมีนวัตกรรมปลูกผักที่เรียกว่า Farmshelf แปลงผักอัจฉริยะ ได้รับการออกแบบมาเพื่อรองรับวิถีคนเมืองผู้อยากปลูกผักเเต่ไม่มีเวลาดูแล ในรูปแบบของการปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์ ซึ่งไม่ต้องใช้ดิน ไม่ต้องใช้พื้นที่มาก เเถมยังสะอาดและสะดวกสบายกับคนปลูก
แต่หากใครยังสงสัยว่า Farmshelf แปลงผักอัจฉริยะ ทำงานอย่างไร เราได้รวบรวมข้อน่ารู้ที่น่าสนใจมาเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อมาใช้ปลูกผักให้คุณเเล้ว
1. Farmshelf เป็นการนำความรู้ด้านการปลูกผักแบบไฮโดรโปนิกส์ หรือการปลูกผักแบบไร้ดินที่ผักสามารถเจริญเติบโตได้โดยใช้สารอาหารจากปุ๋ยน้ำ ดังนั้นผลผลิตที่ได้มาจึงดูสะอาดและไม่เหี่ยวเฉาง่าย โดยทั่วไปจะนิยมปลูกผักขนาดเล็กจำพวกผักสลัดซึ่งเลือกปลูกได้หลากหลายสายพันธุ์ นอกจากนี้ Farmshelf ยังสามารถปลูกผักได้ในอาคาร ลดอัตราการถูกศัตรูพืชตามธรรมชาติกัดทำลายได้อย่างดี
2.ปุ๋ยน้ำที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นปุ๋ยน้ำผสมในน้ำปลูก ช่วยเติมสารอาหารให้ผักของเราในรูปแบบของสารละลายปุ๋ยน้ำ A และ B ที่ผสมด้วยอัตราส่วนเท่ากัน ตามความเข้มขนของสารละลายที่ระบุอยู่ข้างภาชนะ เช่น อัตราส่วน 1:200 คือการผสมปุ๋ยน้ำสูตร A และ B ในอัตราส่วนเท่ากัน คืออย่างละ 5 มิลลิลิตร ต่อ น้ำ 1 ลิตร หรือปัจจุบันก็มีปุ๋ยน้ำไฮโดรโปนิกส์แบบอื่นที่สามารถใช้ได้เหมือนกันแทน หรือผสมลงไปร่วมกันเพื่อบำรุงผักให้งอกงาม โดยเราต้องศึกษาคุณสมบัติและแบรนด์ที่น่าเชื่อถือให้ดีเสียก่อน
3.สำหรับแสงสว่างที่จำเป็นต่อผัก ควรเปิดอย่างน้อย 3-5 ชั่วโมงต่อวัน โดย Farmshelf จะมาพร้อมหลอดไฟแอลอีดีซึ่งมีค่าแสงที่เหมาะสมกับการสังเคราะห์เเสง โดยทั่วไปจะมีระบุที่ฉลากของหลอดไฟว่ามีค่า PAR หรือ Photosynthetically Active Radiation อยู่ที่ 400-700 นาโนเมตร ค่า PPFD ยิ่งสูงยิ่งดีกับต้นไม้ เช่น ค่า PPFD อยู่ที่ 250-270 μmol/m2/s ควรติดตั้งในระยะใกล้กับผัก 30 เซนติเมตร ระยะเวลาปลูกโดยทั่วไปจะไม่เกิน 16 ชั่วโมงต่อวัน ทั้งนี้ผักแต่ละประเภทต่างมีความต้องการปริมาณแสงต่อวันไม่เท่ากัน จึงจำเป็นต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือแผนกการขายเพื่อคำนวณค่าต่าง ๆ และวางระบบที่เหมาะสมให้กับผักที่เราจะปลูก
4. สิ่งสำคัญของ Farmshelf ในปัจจุบันคือปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาพร้อมกับเครื่องตรวจวัดสภาพแวดล้อมที่จําเป็นต่อการปลูกต้นไม้ โดยจะเชื่อมต่อและแสดงข้อมูลของต้นไม้ที่ปลูกในคลังข้อมูล ก่อนแสดงผลที่หน้าจอแสดงผล หรือสมาร์ทโฟน โดยระบุทั้งอายุของต้นไม้ สภาพน้ำ ปุ๋ย และอุณหภูมิที่เหมาะสมของต้นไม้แต่ละชนิดในช่วงเวลาต่าง ๆ เพื่อแจ้งเตือนเมื่อระดับน้ำใกล้หมด แสงน้อยเกินไป ต้องการการดูแลด้านไหนเป็นพิเศษ หรือช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการเก็บเกี่ยว โดยสามารถควบคุมการปลูกได้ด้วยตัวเอง และปรับแบบอัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องเสียเวลาดูแล
5.วัสดุที่ใช้ทำ Farmshelf โดยเฉพาะในส่วนของชุดปลูกควรมีน้ำหนักเบา สามารถยกไปติดตั้งเเละล้างทำความสะอาดได้ง่าย นอกจากนี้ยังต้องเป็นวัสดุที่ไม่เป็นสนิม หรือผุกร่อนจากความชื้นได้ง่าย ทำจากวัสดุหลากหลายให้เลือกตามราคาและความทนทานในการใช้งาน เช่น อะลูมิเนียม พลาสติก พีวีซี หรือเอ็นเอฟที
6.รูปแบบการออกแบบลักษณะของ Farmshelf มีหลากหลายทั้งแบบสวนกระถางสำหรับปลูกผักเพื่อบริโภคเพียงคนเดียวหรือสองคน แบบสวนแนวตั้งเป็นชั้นซ้อนกันเพื่อบริโภคเป็นจำนวนมาก ไม่เปลืองพื้นที่ใช้สอยสำหรับปลูกหรือจัดการแปลง มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ยี่ห้อ และขนาด ซึ่งเราต้องเลือกให้เหมาะสมกับสถานที่ตั้ง ชนิดผักที่ปลูก ราคา วัสดุที่ใช้ และความน่าเชื่อถือของบริษัทผู้ผลิต ที่สำคัญตำแหน่งที่ติดตั้ง แม้ไม่จำเป็นต้องได้รับแสงสว่างภายนอก แต่ต้องมีอากาศถ่ายเทสะดวกอย่าง ห้องโถงในบ้าน หรือบริเวณห้องที่จัดไว้โดยเฉพาะ
เรื่อง : ปัญชัช
ภาพ : คลังภาพบ้านและสวน
อัพเดตเรื่องราวได้ที่เฟซบุ๊คบ้านและสวน