หลายคนคงรู้จัก ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ พอสมควร ซึ่งผลไม้ในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะปลูกที่ต่างประเทศและนำเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งสมัยก่อนอาจจะเป็นแบบนั้น แต่ปัจจุบันนี้ประเทศไทยสามารถปลูกได้ และบางชนิดก็ให้ผลผลิตได้ดีอีกด้วย
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กกว่าผลไม้ชนิดอื่น มีสีสันที่สดใส รสชาติที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี เชอร์รีและอื่นๆ ถึงผลจะมีขนาดเล็กแต่อุดมไปด้วยประโยชน์ที่มากมาย จึงถูกจัดเป็น Superfood ที่มากด้วยสารต้านอนุมูลอิสระและวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
เกษตรกรหรือผู้ที่รักการปลูกต้นไม้ก็ให้ความสนใจกับผลไม้ในกลุ่มนี้อย่างต่อเนื่อง เพราะความต้องการของตลาดที่มากขึ้น แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกชนิดจะปลูกได้ง่าย ครั้งนี้จึงได้คัดเลือกมาทั้งหมด 7 ชนิด พร้อมสายพันธุ์ที่เหมาะสม หากได้ศึกษาและทดลองปลูกจะรู้ว่าไม่ยากอย่างที่คิด

1 I บลูเบอร์รี (Blueberry)
บลูเบอร์รีที่พบเห็นตามห้างสรรพสินค้าเป็นบลูเบอร์รีที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เนื่องจากการปลูกในประเทศไทยยังให้ผลผลิตได้น้อยและยังไม่เป็นที่นิยมทั้งต่อผู้ปลูกและผู้บริโภค ส่วนใหญ่จะใช้บลูเบอร์รีที่แปรรูปแล้ว เพราะผลสดนั้นมีราคาค่อนข้างแพงและหาได้ยาก
แต่บลูเบอร์รีนั้นสามารถปลูกในประเทศไทยและสามารถติดผลผลิตได้ และในบางสายพันธุ์นั้นสามารถปลูกและเจริญเติบโตได้ในทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทยอีกด้วย โดยพันธุ์ที่แนะนำจะเป็น
- “พันธุ์ Sunshine blue” และ “พันธุ์ Biloxi” เป็นพันธุ์ที่ติดผลได้แน่นอน รสชาติหวานอมเปรี้ยว และเป็นพันธุ์ที่ต้องการความหนาวเย็นน้อยในการสร้างตาดอก
ลักษณะของต้นบลูเบอร์รีเป็นไม้พุ่มขนาดกลาง ชอบดินที่ร่วนซุยระบายน้ำและอากาศได้ดี ชอบดินที่เป็นกรดประมาณ pH 5-6 ชอบแดดและชอบน้ำ บลูเบอร์รีมีระบบรากตื้นจึงไม่ชอบน้ำขังแฉะ แต่ต้องระวังอย่าให้ผิวดินขาดน้ำ ในประเทศไทยจะเริ่มออกดอกและติดผลในช่วงเดือนพฤศจิกายนไปจนถึงเดือนมีนาคม หลังจากติดดอกประมาณ 2 สัปดาห์ก็สามารถเก็บเกี่ยวผลได้ โดยสังเกตจากสีผลที่มีสีดำสนิท

2 I เชอร์รี (Cherry)
เชอร์รีเป็นไม้พุ่มขนาดกลางอยู่ในตระกูลเดียวกับบ๊วย ท้อ และพญาเสือโคร่ง จะแบ่งเป็น 2 กลุ่มตามรสชาติ คือกลุ่มที่มีรสชาติหวาน และกลุ่มที่มีรสชาติเปรี้ยว ซึ่งในประเทศไทยส่วนใหญ่จะปลูกเป็นเชอร์รีในกลุ่มที่มีรสชาติเปรี้ยว ส่วนแหล่งที่ปลูกส่วนใหญ่จะอยู่ในทวีปอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น เพราะเชอร์รีชอบอากาศเย็น
เมื่อเชอร์รี่ได้รับอากาศเย็นเป็นระยะเวลาประมาณ 300 ชั่วโมง อาจจะมากกว่าหรือน้อยว่านั้น ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูกจะทำให้ตาดอกจะพัฒนาและเจริญเติบโตเป็นผล ส่วนเชอร์รีพันธุ์ที่นำเข้ามาปลูกในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังไม่สามารถติดผลได้ แต่มีบางสายพันธุ์ที่ติดผลได้ เช่น
- “เชอร์รีหวานออสเตรเลียหรือ Acerola Cherry” มีถิ่นกำเนิดที่ประเทศออสเตรเลีย หรือเรียกว่า “เชอร์รีไทย”ถูกนำเข้ามาปลูกและขยายพันธุ์ในประเทศไทยนานหลายปีแล้ว สามารถปลูกเจริญเติบโตมีดอกและติดผลได้ในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เชอร์รีพันธุ์นี้จะเริ่มติดดอกและผลตั้งแต่ช่วงเดือนมิถุนายนไปจนถึงปลายเดือนสิงหาคม ผลออกเป็นพวง 3-5 ผลต่อพวง ผลสุกมีสีแดงสด รสชาติหวานนำและเปรี้ยวเล็กน้อย
- “เชอร์รีพันธุ์ Manoa” เป็นอีกหนึ่งพันธุ์ที่นำเข้ามาจากออสเตรเลีย เป็นพันธุ์ที่ผลมีขนาดใหญ่และรสชาติค่อนข้างหวาน
โดยทั่วไปการขยายพันธุ์เชอร์รีมักจะใช้วิธีการตอนกิ่ง เพาะเมล็ด แต่ถ้าเป็นเชอรี่ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศการขยายพันธุ์ต้องใช้วิธีการติดตา หรือทาบกิ่งเพราะจะได้ต้นพันธุ์ที่แข็งแรงและระบบรากที่ดี เชอร์รีชอบวัสดุปลูกที่โปร่ง ระบายน้ำดี มีช่องว่างของอากาศในดินมาก ทนแล้งและทนร้อนได้ดี เนื่องจากมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของอเมริกากลาง

3 I สตรอว์เบอร์รี (Strawberry)
เมื่อพูดถึงผลไม้ตระกูลเบอร์รี สตรอว์เบอร์รี ก็นับว่าเป็นผลไม้ชนิดแรกที่ทุกคนนึกถึง ที่เริ่มปลูกในเชิงการค้าตั้งแต่ปี พ.ศ. 2522 และได้มีการนำเข้าสายพันธุ์จากต่างประเทศเข้ามาทดลองปลูกและพัฒนาสายพันธุ์มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสายพันธุ์ส่วนใหญ่จะนำเข้ามาจากประเทศญี่ปุ่น ที่สามารถปลูกและเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย สายพันธุ์สตรอว์เบอร์รีที่นิยมปลูกในประเทศไทย ได้แก่
- “พันธุ์พระราชทาน 80 (Royal Queen)” เป็นพันธุ์ที่นิยมปลูกเชิงการค้าเพื่อรับประทานผลสดมากที่สุด เนื่องจากให้ผลผลิตมาก ผลมีขนาดใหญ่ เนื้อแน่น รสชาติดี มีกลิ่นหอม และที่สำคัญเป็นพันธุ์ที่แข็งแรง ต้านทานโรคและแมลงได้ดี
- “พันธุ์พระราชทาน 70 (Toyonoka)” สตรอว์เบอร์รีพันธุ์นี้เป็นพันธุ์เบา ให้ผลผลิตค่อนข้างสูงและเก็บเกี่ยวได้เร็ว ผลมีขนาดใหญ่ รสชาติหวาน มีกลิ่นหอม เนื้อแน่นผิวแข็ง
- “พันธุ์ 329 (Yale)” เป็นพันธุ์ที่นำเข้ามาจากประเทศอิสราเอล รสชาติจะหวานไม่มาก ผลมีขนาดใหญ่มาก เนื้อค่อนข้างกรอบและมีกลิ่นหอม
การปลูกสตรอว์เบอร์รี จะเริ่มปลูกช่วงเดือนสิงหาคม สามารถปลูกลงแปลงหรือปลูกลงในกระถางได้ วัสดุปลูกต้องมีความร่วนซุยระบายน้ำได้ดี มีความเป็นกรดเล็กน้อย ต้นสตรอว์เบอร์รีจะไม่ชอบน้ำขังเพราะจะทำให้รากเน่าได้ง่าย ต้นพันธุ์ต้องมีความสมบูรณ์แข็งแรง มีใบประมาณ 5 ขึ้นไป รากมีสีขาว ระบบรากของสตรอว์เบอร์รีจะหากินบริเวณผิวดินเป็นระบบรากตื้น หลังจากปลูกจำเป็นต้องมีวัสดุคลุมแปลงหรือคลุมหน้าดิน เพื่อไม่ให้หน้าดินขาดความชื้น อุณหภูมิที่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตจะอยู่ระหว่าง 15-25 องศาเซลเซียส เมื่อได้รับอุณหภูมิต่ำเป็นเวลาที่เหมาะสม สตรอว์เบอร์รีจะเริ่มสร้างตาดอก และค่อยๆ พัฒนาเป็นผลใช้เวลาประมาณ 3-4 เดือน ขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ที่ปลูก

4 I แบล็กเบอร์รี (Blackberry)
นอกจากสตรอว์เบอร์รีที่ปลูกในประเทศไทยได้ดีแล้ว แบล็กเบอร์รีก็เป็นอีกหนึ่งชนิดที่ปลูกในประเทศไทยได้ดีเช่นกัน และเริ่มได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สามารถปลูกได้ในทุกพื้นที่ของประเทศไทย ส่วนใหญ่จะปลูกบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และพื้นที่สูงในประเทศอย่างเขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งในพื้นที่ภาคกลางและกรุงเทพก็สามารถปลูกได้
แบล็กเบอร์รีเป็นไม้เลื้อย ลำต้นจะทอดยาวไปเรื่อยๆ เมื่อปลูกจะต้องทำค้างหรือมีหลักให้ต้นได้ยึดเกาะ แบล็กเบอร์รีจะเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนทราย หรือดินที่มีการระบายน้ำได้ดี ไม่ชอบน้ำขังแฉะ มีระบบรากตื้น ควรมีวัสดุคลุมดินหรืออย่าปล่อยให้หน้าดินขาดน้ำ หลังจากปลูกไปแล้วประมาณ 5-8 เดือนก็จะเริ่มติดอกและออกผล ซึ่งดอกและผลจะออกบริเวณยอดที่แตกใหม่ หลังจากออกดอก 1 เดือนจะเริ่มเก็บผลได้ โดยจะเลือกเก็บผลที่มีสีดำ ส่วนผลที่มีสีแดงหรือยังไม่ดำสนิทจะมีรสชาติที่เปรี้ยวมาก
ในประเทศไทยมีแบล็กเบอร์รีหลากหลายสายพันธุ์ทั้งพันธุ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศและพันธุ์ที่ปรับปรุงขึ้นใหม่เพื่อให้สามารถเจริญเติบโตได้ดีในประเทศไทย พันธุ์ที่ปลูกง่ายและนิยมปลูกได้แก่
- “Prim Ark 45” หลายท่านยกให้พันธุ์นี้เป็นพันธุ์ที่ปลูกได้ดี ให้ผลดก ผลมีขนาดใหญ่ ปลูกได้ทุกพื้นที่ในประเทศไทย เจริญเติบโตเร็ว ทนร้อนได้ดี รสชาติหวานอมเปรี้ยว แต่ข้อเสียของพันธุ์นี้คือมีหนาม
- “พันธุ์ Black Gem” เป็นแบล็คเบอร์รีอีกหนึ่งสายพันธุ์ที่นิยมปลูก ข้อดีคือไม่มีหนาม เจริญเติบโตได้ง่าย ชอบแสงเต็มวัน รสชาติหวานอมเปรี้ยว เมื่อผลสุกสีดำจะมีกลิ่นหอม

5 I ราสป์เบอร์รี (Raspberry)
เป็นไม้ผลขนาดเล็กที่เริ่มพบเห็นได้มากขึ้นในประเทศไทย เนื่องมีการพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่สามารถเจริญเติบโตโดยไม่พึ่งอากาศหนาวเย็น
การปลูกราสป์เบอร์รี สามารถปลูกได้ทั้งกระถางหรือปลูกลงแปลง เพียงแต่ว่าวัสดุที่ใช้ปลูกนั้นต้องมีความโปร่ง ระบายน้ำและอากาศได้ดี และควรมีวัสดุคลุมดิน เพื่อรักษาความชื้นในดิน ผลไม้ตระกูลเบอร์รีมักจะชอบน้ำ แต่ไม่ชอบน้ำที่มากเกินไปจนแฉะ เมื่อลงปลูกได้ 3-4 เดือน ราสป์เบอร์รี่จะออกผลได้เรื่อยๆ ควรตัดแต่งกิ่งเพื่อให้ผลผลิตออกมาอย่างสม่ำเสมอ ในประเทศไทยมีการปลูกราสป์เบอร์รีหลายสายพันธุ์ อาทิ
- “พันธุ์ Heritage” เป็นพันธุ์ที่ปลูกเลี้ยงง่าย และแตกหน่อดี ที่สำคัญคือให้ผลผลิตได้เร็ว ผลสุกสีแดงมีขนาดใหญ่ รสชาติหวาน
- “พันธุ์ Crimson Giant” เป็นพันธุ์ที่ผลมีขนาดใหญ่ สีแดง รสชาติมีความหวานและมีกลิ่นหอม
- “พันธุ์ Autumm Treasure” จุดเด่นของพันธุ์นี้คือ ไม่มีหนาม แตกหน่อมาก ทนต่อโรค ผลมีลักษณะเป็นทรงกรวย สีชมพูอมแดง รสชาติหวานมาก
- “พันธุ์ Fall gold” เป็นราสป์เบอร์รีสีเหลืองทอง ผลจะมีขนาดเล็ก แต่มีรสชาติหวานอร่อย ติดผลตลอดทั้งปี สามารถปลูกกลางแดดได้

6 I ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ : มัลเบอร์รี (Mulberry)
มัลเบอร์รีหรือที่รู้จักกันในชื่อ หม่อน ไม้ผลกลุ่มเบอร์รีที่ในสมัยก่อนมักจะปลูกเพื่อใช้ประโยชน์จากใบ โดยการนำไปเลี้ยงหนอนไหม ภายหลังเริ่มมีการบริโภคผลและเป็นที่นิยมกันมากขึ้น เนื่องจากผลของมัลเบอร์รีมีสรรพคุณมากมาย และมีแหล่งกำเนิดอยู่ทั่วทุกมุมโลก
มัลเบอร์รีเป็นไม้ที่เจริญเติบโตง่ายมากและปรับตัวได้ดีในทุกสภาพแวดล้อม ทนต่อโรคและแมลง การขยายพันธุ์ส่วนใหญ่มักใช้วิธีการปักชำ เพราะเป็นวิธีที่ง่ายและได้ผลดี โดยปกติแล้วมัลเบอร์รีจะออกดอกในช่วงฤดูหนาว และเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ถึงช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงมีนาคม ทั้งนี้การออดอกและติดผลจะขึ้นอยู่กับอาหารที่ต้นสะสม หากว่าต้นมัลเบอร์รีนั้นมีการสะสมอาหารเก็บไว้มาก ก็สามารถให้ผลผลิตได้ทั้งปี เมื่อปลูกไปสักระยะหลังจากที่เก็บเกี่ยวผลผลิตออกแล้ว ควรตัดแต่งกิ่งออกเพื่อให้มีการแตกกิ่งก้านใหม่ และออกดอกติดผลเหมือนเดิม โดยพันธุ์ที่นิยมปลูกเพื่อทานผลสด ได้แก่
- “พันธุ์เชียงใหม่ 60” และ “กำแพงแสน 42” ทั้งสองพันธุ์นี้ให้ผลที่ดกมากและมีขนาดผลที่ใหญ่ เมื่อสุกผลจะมีสีดำ และรสชาติหวานมาก
- “พันธุ์ดำออสตุรกี” จุดเด่นของพันธุ์นี้คือผลมีขนาดใหญ่มาก รสชาติหวาน น้ำเยอะ ขนที่ผลจะมีน้อย
- “พันธุ์ไต้หวันแม่ช่อ” ผลจะยาวมากประมาณ 3-5 นิ้ว รสชาติหวานมาก
- “พันธุ์หิมาลายันขาว” ผลดกและมีลักษณะยาว ผลสุกจะเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีขาว รสชาติหวานมาก และมีกลิ่นหอม

7 I ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ : ทับทิม (Pomegranate)
ทับทิมก็เป็นหนึ่งในผลไม้ตระกูลเบอร์รี แหล่งผลิตทับทิมที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลกอยู่ที่ประเทศสเปน และประเทศอินเดีย ซึ่งประเทศไทยพยายามที่จะนำทับทิมมาขยายพันธุ์และเพาะปลูกแต่ก็ยังหาพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศไทยไม่ได้ ปัจจุบันเกษตรกรที่ปลูกทับทิมมีเพียงไม่กี่ราย เนื่องจากการปลูก การดูแล และผลผลิตยังไม่เป็นที่น่าพอใจ
ในประเทศไทยมีแหล่งผลิตทับทิมอยู่ที่อำเภอพบพระ จังหวัดตาก อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา อำเภอกระทุ่มแบบ จังหวัดสมุทรสาคร อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ทับทิมจะเจริญเติบโตได้ดีและมีคุณภาพในพื้นที่อากาศเย็น ได้รับน้ำเพียงพอ ได้รับแสงแดดตลอดทั้งวัน พันธุ์ที่ปลูกในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเริ่มสร้างตาดอกในช่วงฤดูหวานและจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ในช่วงเริ่มออกดอกและติดผลต้องให้ได้รับน้ำอย่างสม่ำเสมอ หากขาดน้ำจะทำให้ดอกหรือผลร่วงได้ การขยายพันธุ์ส่วนใหญ่จะใช้วิธีการเพาะเมล็ด และการตอนกิ่ง
ปัจจุบันมีการพัฒนาสายพันธุ์ทับทิมเพื่อให้ปลูกและเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ประเทศไทย มีหลากหลายสายพันธุ์
- “พันธุ์แดงมารวย” เป็นทับทิมสายพันธุ์อินเดีย เปลือกจะมีสีแดงเลือดนก เนื้อด้านในมีสีแดง เมล็ดนิ่ม รสชาติหวาน ผลมีขนาดใหญ่ เจริญเติบโตง่ายสามารถปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย
- “พันธุ์แดงเจ้าพระยา” ทับทิมเมล็ดนิ่มที่เกิดจากการกลายพันธุ์ของทับทิมอินเดียดั้งเดิม ผลสีแดงสด รสชาติหวานอมเปรี้ยวนิดหน่อย เมล็ดนิ่มเนื้อหุ้มเมล็ดมีขนาดใหญ่
- “พันธุ์ตูนิเซีย” เป็นทับทิมที่มีผลขนาดใหญ่ รสชาติหวาน ผลสีแดง เนื้อสีแดง
- “พันธุ์แดงบังวาหรือแดงอินเดีย” เจริญเติบโตเร็ว ให้ผลผลิตดก เมล็ดนิ่มสีแดง ผลจะมีสีเหลืองส้ม และยังมีอีกหลายสายพันธุ์
- “พันธุ์เพชรชมพู” ที่กลายพันธุ์มาจากทับทิมสเปน เปลือกผลมีสีเหลือง เนื้อมีสีชมพู เมล็ดนิ่ม
สำหรับท่านใดที่สนใจเกี่ยวกับการปลูก ผลไม้ตระกูลเบอร์รี สามารถตามหาหนังสือ My Little Farm Vol. 11 เบอร์รีและไม้ผลเพื่อสุขภาพอ่านเพิ่มเติมได้ที่ Link นี้ได้
เรื่อง : สรวิศ บุญประสพ
เอบิว (Abiu) ไม้ผลแปลกน่าปลูก เรียนรู้เทคนิคการปลูกและดูแลให้ติดผล