Daylight ไข่พาสเทล ฟาร์มไก่นอกเลี้ยงในไทย

ทุกเช้าที่ ฟาร์มไก่ไข่สีพาสเทล เล็ก ๆ หลังบ้านแห่งนี้ ได้กลายเป็นแหล่งกำเนิดของไข่ไก่หลากสีที่ไม่เหมือนใคร เสน่ห์ของไข่พาสเทลไม่ได้อยู่ที่รสชาติหรือคุณค่าทางโภชนาการเท่านั้น แต่คือ ความยูนีคของสีสัน ไม่ว่าจะเป็นฟ้าเทอควอยซ์ เขียวโอลีฟ หรือสีน้ำตาลช็อกโกแลต ที่ทำให้ทุกฟองมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

จุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ในการทำ ฟาร์มไก่ไข่สีพาสเทล มาจากแรงบันดาลใจของ “คุณเดย์- ชัยณรงค์ ปราบภัย” บรีดเดอร์สุนัข ที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาสเห็นไข่สีฟ้าในต่างประเทศ และหลงใหลในความสวยงามนั้น จนกลายเป็นจุดประกายให้เริ่มต้นเพาะเลี้ยงและพัฒนาสายพันธุ์ไก่ไข่สีในประเทศไทย จากความชอบส่วนตัว ผสานเข้ากับความเป็นบรีดเดอร์ที่เคยผ่านประสบการณ์เพาะพันธุ์สัตว์มาก่อน

ฟาร์มไก่ไข่สีพาสเทล

เส้นทางไม่ได้ง่าย เพราะทุกการทดลองต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7–8 เดือนกว่าจะรู้ผล แต่ความสนุกอยู่ที่การได้ “ลุ้น” ว่าสีที่วางแผนไว้จะออกมาอย่างที่คิดหรือไม่ และทุกความสำเร็จก็คือความสุขที่จับต้องได้ในรูปของ “ไข่พาสเทล”

และนี่คือเรื่องราวของ “Daylight ไข่พาสเทล” ฟาร์มเล็กที่บ่มเพาะด้วยใจรัก ความพยายาม และความเชื่อมั่น ว่า “ว่าแม้เพียงไข่ฟองเล็ก ๆ ก็สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้”

ก่อนมาเป็นคนเลี้ยงไก่

ทุกอย่างเริ่มต้นจากการเดินทางไปต่างประเทศ และได้เห็นไข่สีฟ้าที่สะดุดตา มีความยูนีค คุณเดย์เล่าว่า“ได้เจอที่อเมริกา ไข่สีฟ้ามันสะดุดตามาก เรารู้สึกว่ามันแปลกและสวย”

ด้วยความชอบส่วนตัวและความเป็น breeder (ผู้เพาะเลี้ยงและผสมพันธุ์) อยู่ในสายเลือด เพราะพี่เคยเลี้ยงและผสมสายพันธุ์สุนัขมาก่อน พี่เดย์จึงเริ่มศึกษาและทดลองผสมพันธุ์ไก่ เพื่อสร้างเฉดสีไข่ใหม่ ๆ ที่ไม่เหมือนใคร

“ความสำเร็จคือเราได้เห็นผลผลิต เราวาง breed line (ผสมสายเลือด / การเพาะพันธุ์แบบรักษาสายพันธุ์) ไว้ว่าไข่ต้องเป็นสีนี้ ไก่เป็นแบบนี้ ความสนุกคือการผสมสี อยากได้สีเขียว เราก็ต้องคิดว่าจะเอาอะไรเข้ามาผสมให้ได้เฉดนั้น มันเป็นชาเลนจ์ ว่าที่วางแผนมา ทำข้อมูลมามันใช่มั้ยและต้องรอผลอีก 7–8 เดือนถึงจะรู้ว่าใช่หรือไม่”

ฟาร์มไก่ไข่สีพาสเทล

จุดเริ่มต้นของ Daylight ไข่พาสเทล

การเริ่มเลี้ยงไก่ไข่พาสเทลของคุณเดย์ เริ่มจากการนำเข้า ไข่เชื้อจากต่างประเทศ มาฟักเองที่บ้าน ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่เสี่ยงไม่น้อย เพราะไข่แต่ละฟองมีราคาค่อนข้างสูง ฟองละประมาณ 20 กว่าเหรียญ หากนำเข้า 60 ฟอง อาจไม่ได้ลูกไก่เลยก็ได้ เนื่องจากไข่เชื้อมักเสียหายระหว่างการเดินทาง การขนส่งใช้เวลา 10 วันถึง 2 สัปดาห์ ขณะที่เชื้อในไข่มีอายุเพียง 10–12 วัน จึงมีโอกาสตายก่อนถึงมือ สาเหตุหลักมาจาก อุณหภูมิและการสั่นสะเทือน ทำให้หลายครั้งที่นำเข้าไข่มา กลายเป็นไข่เปล่า ไม่สามารถฟักออกมาเป็นตัวได้เลย เมื่อเปรียบเทียบกับการเลี้ยงไก่เมืองไทย ไก่จะออกไข่วันละ 2–3 ฟอง จนครบ 10–12 ฟอง จึงเริ่มกก ซึ่งเชื้อจะอยู่ได้ประมาณ 12–15 วัน หากเก็บในที่เย็นหรือควบคุมอุณหภูมิก็จะอยู่ได้นานกว่า

อีกทางเลือกหนึ่งคือการ นำเข้าไก่พันธุ์ ถึงแม้ราคาจะสูงกว่า แต่ถือว่าคุ้มค่าเพราะมีการรับประกัน มีราคาคู่ละประมาณ 30,000–40,000 บาทหรือชุด Trio (ตัวผู้ 1 ตัว + ตัวเมีย 2 ตัว) ราคา 45,000–50,000 บาท หากมีปัญหาไก่ตายจากการขนส่ง สามารถเคลมประกันได้ เมื่อเปรียบเทียบแล้ว การนำเข้าตัวไก่ปลอดภัยกว่า เพราะโอกาสรอดสูง และพร้อมให้เรานำมาพัฒนาได้ทันที ซึ่งล็อตแรกที่คุณเดย์นำเข้า 60 ฟอง รอดมาเพียง 2 ฟอง และโชคดีที่ได้ครบทั้งตัวผู้และตัวเมีย เป็นสายพันธุ์ Ameraucana ซึ่งกลายเป็นต้นกำเนิดของการพัฒนาสายพันธุ์ในฟาร์ม และถือเป็น “คู่บุกเบิก” ที่ทำให้ Daylight ก้าวต่อไปได้

“ตอนแรกที่ได้เห็นไข่สีพิเศษเหล่านี้ พี่เป็นคนตั้งชื่อว่า “ไข่พาสเทล” เพราะไข่สีนวลๆสีออกพาสเทล และสอดคล้องกับชื่อฟาร์ม Daylight ที่มีความหมายเกี่ยวกับแสง พี่เป็นคนชอบแสง และพี่ชื่อเดย์ เลยรวมกันเป็น ‘Daylightไข่พาสเทล’ ปัจจุบันคำว่า ไข่พาสเทล ถูกใช้เรียกกันอย่างแพร่หลาย และกว่า 80% ของไก่ไข่สีในประเทศไทย มาจากฟาร์มเรา” คุณเดย์กล่าว

ฟาร์มไก่ไข่สีพาสเทล

ฟักไข่สีพาสเทลต้องใส่ใจกว่าจะได้ลูกเจี๊ยบ

ตั้งแต่เริ่มได้ ไข่เชื้อ เข้ามาต้องช่วยฟักเอง เนื่องจากไก่ไข่โดยธรรมชาติแล้ว ไม่ค่อยกกไข่ น้อยมากที่จะฟักออกมาได้เอง สมมติว่ามีไก่ 100 ตัว จะมีไม่ถึง 10 ตัวที่สามารถกกไข่ได้ เพราะไก่สายพันธุ์นี้ถูกพัฒนามาเพื่อการออกไข่ ไม่ใช่เพื่อฟัก

“ผมจะเก็บไข่ไว้เพียง 4 วัน (ปกติไก่จะกกในช่วง 10–12 วัน) เนื่องจากบ้านเราอากาศร้อน จึงต้อง play safe ไม่เก็บไว้นานเกินไป แล้วจึงนำเข้า ตู้ฟัก ใช้เวลาประมาณ 21 วัน บวกลบ 3 วัน ไก่จะเริ่มฟักออกมา หลังจากนั้นย้ายลูกไก่ไปอยู่ ตู้เกิด 48 ชั่วโมง ที่อุณหภูมิ 37.5-37.8 องศาเซลเซียส”

คุณเดย์เล่าต่อว่าหลังจากนั้นจึงย้ายออกมาใส่ถังที่มีไฟกก (warm light หรือหลอดเซรามิก) แต่จะเปิดไฟเฉพาะตอนกลางคืนหรือวันที่อากาศเย็นเท่านั้น ถ้าอากาศร้อนจะเปิดเพียงไฟส่องสว่างเพื่อให้ลูกไก่มองเห็นอาหาร เพราะพวกเขากินตลอดเวลา ลูกไก่จะอยู่ในถังนี้ประมาณ 1 สัปดาห์ ก่อนจะย้ายไปเลี้ยงบนกรงลอย ข้อดีคือมูลไก่จะตกลงถาดด้านล่าง ทำให้สะอาดและดูแลง่าย เราจะนำถาดอึไปล้างทุกเช้า

ลูกไก่จะอยู่ในกรงลอยประมาณ 4–6 สัปดาห์ ก่อนคัดแยกเพศ โดยหลักๆ ใช้ หงอน เป็นตัวบ่งชี้ เช่น ไก่หงอนถั่ว ตัวผู้จะมีหงอน 3 แถว และใหญ่กว่า, ไก่หงอนเดี่ยวหรือหงอนจักร หงอนของตัวผู้จะชัดเจนตั้งแต่ 3 สัปดาห์ขึ้นไป การจำแนกเพศแม่นยำขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของผู้เลี้ยงที่อยู่กับไก่มานาน เมื่อไก่อายุ 6–7 เดือน จะเริ่มออกไข่ โดยปกติไก่มีอายุการให้ผลผลิตประมาณ 4–5 ปี

ที่อยู่และอาหารมีผลต่อคุณภาพของสีไข่

“การดูแลประจำวันของฟาร์ม ในตอนเช้า เราจะเริ่มจาก ปล่อยไก่ออกจากกรง เก็บมูลออกจากทราย ทำความสะอาดกรง ล้างถาดอาหารและกระบอกน้ำ แล้วจึงให้อาหารและน้ำ พอแดดเริ่มแรงก็จะพาไก่กลับเข้ากรง สำหรับเรื่องอาหาร ไก่สามารถกินได้ทั้งวัน แต่หากปล่อยให้มีอาหารตลอดเวลา พวกเขามักจะเขี่ยทิ้ง การให้อาหารเป็นเวลาและจำกัดปริมาณ กลับทำให้ไก่กินได้มากและมีประสิทธิภาพกว่า

สำหรับการให้วัคซีน ลูกไก่ต้องได้รับวัคซีนตามกำหนดเพื่อความแข็งแรง เมื่อฟักออกมา ครบ 1 สัปดาห์ จะให้วัคซีนรวมนิวคาสเซิลและหลอดลมอักเสบติดต่อในไก่ (Newcastle and Infectious bronchitis vaccine) อีก 3 สัปดาห์ถัดมา ฉีดกระตุ้นอีกครั้ง และฉีดอีกครั้งเมื่ออายุ 3 เดือน เพื่อความสะดวกในการจัดการ พี่เดย์จะทำการหยอดหรือฉีดวัคซีนเป็น ลอตเดียวกัน ทั้งรุ่น”

“เรื่อง อาหารสำหรับไก่ หลักๆ เราให้อาหารสำเร็จรูปเป็นหลัก เพราะมี ธาตุอาหารครบถ้วนกว่า และเสริมด้วยผักผลไม้ตามฤดูกาลเป็นมื้อรอง มื้อเสริม ด้วยความที่บริเวณใกล้บ้านไม่มีแหล่งซื้อวัตถุดิบอย่างข้าวโพดหรือรำ เราจึงใช้ ต้นกระถิน ที่สามารถเก็บได้มาเป็นอาหารเสริมแทน แต่อาหารสำเร็จรูปเองก็มีข้อเสียอยู่บ้าง โดยเฉพาะ สูตรเร่งไข่ ที่มักใช้กับไก่ไข่ทั่วไป สำหรับไก่ไข่สีแล้ว สูตรนี้ไม่เหมาะสม เพราะจะส่งผลต่อคุณภาพของเปลือกไข่ โดยปกติไข่ไก่สีจะเคลือบเม็ดสีบนเปลือก เช่น ถ้ามีสี 1 ลิตร ใช้เคลือบไข่ 1 ฟอง ก็จะทำให้สีเข้มสวย แต่หากเร่งไข่จนไก่ออกไข่ได้ 3 ฟองในปริมาณเม็ดสีเท่าเดิม สีที่เคลือบก็จะ กระจายบางลง ทำให้เปลือกไข่ดู ซีดจาง ไม่สวยเหมือนเดิม”

จะเห็นว่าการจัดการอาหารจำเป็นต้องสมดุล ไม่เพียงให้อิ่มท้องหรือออกไข่เยอะ แต่ยังต้องคำนึงถึง คุณภาพของไข่และความงามของสีเปลือก ซึ่งเป็นเสน่ห์ของไก่ไข่สีโดยเฉพาะ ที่นี่ยังจัดการฟาร์มแบบ sustainable ซึ่งคุณเดย์เล่าว่า “มูลไก่พี่เก็บไว้สักระยะเป็นปุ๋ยและเอาไปใส่ต้นไม้ มีแบ่งคนปลูกต้นไม้แถวๆบ้านด้วย เพราะเราไม่ได้เลี้ยงไก่เยอะปริมาณไม่ได้มีมาก พื้นเล้าจะเทปูพื้นปูน ช่วยในเรื่องเชื้อโรค เพราะในดินมีเชื้อโรคสะสมได้ง่าย จากนั้น รองพื้นด้วยทราย”

คัดเลือกสายพันธุ์ให้ได้ดีที่สุด

การเลี้ยงไก่ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด แต่ละรุ่นที่ได้มา มีทั้งตัวผู้ ตัวเมีย บางตัวสวย บางตัวไม่ตรงตามที่หวัง เราจึงต้องคัดเลือกอยู่เสมอ สมมติได้มา 10 ตัว เราจะเก็บไว้เพียง 4 ตัวที่ตรงกับมาตรฐาน อีก 6 ตัว ต้องแบ่งขายออกไป เพราะพื้นที่ของเรามีจำกัด และการดูแลไก่จำนวนมากเกินไป ย่อมกระทบคุณภาพชีวิตทั้งของไก่และของคนเลี้ยงเอง

“การผสมพี่เดย์ปล่อยให้ผสมธรรมชาติ แต่ araucana จะทับยาก เพราะไม่มีหาง เหมือนไม่มีหางเสือ ไข่ส่วนใหญ่ออกมาจะไม่มีเชื้อ เป็นข้อเสียพันธุ์นี้ ไก่จะทับไปไข่ไป ตัวผู้จะทับเรื่อย ๆ เมียจะมีไข่ตลอด ไข่ครบ 1 ตับ ทิ้งระยะไว้ 1 สัปดาห์จะกลับมาไข่ใหม่”

ฟาร์มเป็นพื้นที่เปิด จึงมีนกเข้ามาได้ง่าย มีโอกาสนำโรคมาติดไก่ได้ หากดูแลความสะอาดไม่ดีพอ สุขภาพของไก่ก็จะไม่แข็งแรง อีกทั้งถ้าเลี้ยงมากเกินไป คนเลี้ยงก็จะเหนื่อย และคุณภาพการเลี้ยงก็จะลดลง ซึ่งอาจทำให้ความสนุกและความตั้งใจในการพัฒนาสายพันธุ์หายไป อีกปัจจัยคือ ฤดูกาล อย่างหน้าฝนจะเป็นโรคหวัด ไก่จะซึมป่วย เป็นหวัด

“ในอนาคตมีแพลนที่จะต้องนำสายพันธุ์เขามาใหม่ ๆ เรื่อย ๆ เพราะการผสมแบบ breed line (ผสมสายเลือด / การเพาะพันธุ์แบบรักษาสายพันธุ์) ที่ซ้ำกันมันไม่ดีกับตัวไก่ ด้วยสุขภาพ ด้วย อายุ ผมจะนำเข้ามาทุกปี ปีละครั้งช่วงเดือนมีนาคมถึงเมษายน เพราะช่วงนั้นอากาศดีของโซนยุโรป และนำมาฝักในตู้ ที่ภายในห้องคุมอุณภูมิที่ 27 องศาเซลเซียส”

“จริง ๆ ไก่ก็คือสัตว์เลี้ยงของเรา ถ้าไม่ดูแลดี เราก็อาจจะไม่ได้เห็นผลผลิตอย่างที่หวัง”คุณเดย์กล่าว

ไก่พื้นเมืองไทย vs ไก่ต่างประเทศ

เมื่อพูดถึงความทนทานต่อโรคและสภาพแวดล้อม ไก่พื้นเมืองไทยมักมีโอกาสรอดสูงกว่า โดยเฉลี่ยรอดได้ประมาณ 80% ขณะที่ไก่ต่างประเทศมีอัตราการรอดเพียง 50% เท่านั้น สิ่งที่น่ากังวลอีกอย่างคือเรื่อง เชื้อแบคทีเรีย เพราะแต่ละพื้นที่มีเชื้อแตกต่างกันออกไป บ้านพี่เองก็มีทั้งเชื้อดีและเชื้อไม่ดีปะปนกัน ซึ่งไม่ใช่ปัญหาสำหรับไก่ที่เติบโตและชินกับสภาพแวดล้อมนี้อยู่แล้ว แต่เมื่อส่งไก่ไปที่ใหม่ ไก่ที่ยังไม่เคยสัมผัสเชื้อเหล่านั้นอาจ ไม่มีภูมิคุ้มกันเพียงพอ หากต่อสู้กับเชื้อหรือโรคไม่ได้ก็อาจตายได้ง่าย ทำให้บางครั้งคนเลี้ยงอาจเข้าใจผิด คิดว่าไก่จากฟาร์มพี่เลี้ยงแล้วไม่แข็งแรง

ในความจริง หากไก่สามารถเลี้ยงรอดจนโตได้ รุ่นต่อๆ ไปก็จะอยู่ได้ตามปกติ ไม่มีปัญหาอะไร เพราะพวกเขาจะสร้างภูมิต้านทานกับเชื้อนั้นๆ ดังนั้น คุณเดย์จึงแนะนำเสมอว่า ถ้าเพิ่งเคยซื้อไก่ไปจากฟาร์มเขาเป็นครั้งแรก ไม่ควรนำลงดินหรือปล่อยเข้าคอกใหญ่ทันที แต่ควรให้เขาได้ใช้เวลา ปรับตัว 2 สัปดาห์ถึง 1 เดือน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันกับเชื้อแบคทีเรียในพื้นที่ใหม่ก่อน หลังจากนั้นก็สามารถเลี้ยงต่อได้อย่างสบายใจ

ฟาร์มไก่ไข่สีพาสเทล

ไข่สีพาสเทลและความหลากหลายของสายพันธุ์

ในฟาร์มมีสายพันธุ์หลากหลาย ทั้ง Swedish Isbar ที่ให้ไข่ฟ้ามีกระ, Araucana ที่ไม่มีหางและบางตัวมีติ่งหู, Ameraucana ที่พัฒนาจาก Araucana และให้ไข่สีฟ้าหรือเขียวนวล, Cream Legbar ที่ขึ้นชื่อเรื่องให้ไข่เร็วและฟองใหญ่ รวมไปถึง Olive Egger ที่ให้ไข่สีเขียวมะกอก และ Marans ที่ไข่สีน้ำตาลเข้มสวย คุณเดย์เล่าว่า “เราตั้งใจพัฒนาสายพันธุ์และคัดเลือกทีละรุ่น เพื่อให้ได้ทั้งคุณภาพไข่และสุขภาพไก่ที่ดีที่สุด”

ฟาร์มไก่ไข่สีพาสเทล

ฟาร์มไก่ไข่สีพาสเทล ระบบปิด vs ระบบเปิด

ระบบปิด ดีกว่า เพราะสามารถควบคุมได้ทั้ง สภาพแวดล้อม อุณหภูมิ และความสะอาด โรงเรือนแบบ e-wrap ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ช่วยให้การเลี้ยงมีประสิทธิภาพ แต่ต้องยอมรับว่า ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง

อย่างไรก็ตาม คุณเดย์เลือกเลี้ยงแบบ กึ่งปิด กึ่งเปิด เพราะมองว่าไก่สามารถปรับตัวอยู่ในธรรมชาติของบ้านเราได้ และเมื่อนำไปเลี้ยงต่อในที่อื่น ไก่ก็มีโอกาสรอดสูงกว่า เนื่องจากมีภูมิคุ้มกัน (antibody) ติดตัวอยู่แล้ว

การเลี้ยงแบบกึ่งปิดกึ่งเปิด เพื่อให้ไก่ได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ พร้อมควบคุมความสะอาดและสุขภาพอย่างเข้มงวด อาหารหลักคืออาหารสำเร็จรูป เสริมด้วยผักผลไม้ตามฤดูกาล มีการให้วัคซีนตั้งแต่แรกเกิด

อยากเลี้ยงไก่ไข่พาสเทลต้องรู้

“ในมุมที่อยากแนะนำ คือ ควรมี พื้นที่ที่ชัดเจน สำหรับไก่ได้ใช้ชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ เช่น พื้นที่ให้เขา เล่นดิน เดินเล่นกลางวัน และมีโซนพักเป็นที่นอนยามค่ำคืน คล้ายกับในต่างประเทศที่นิยมทำ chicken coop หรือโรงเรือนเล็กๆ สำหรับไก่อยู่ ซึ่งการจัดการแบบนี้ทำให้ดูแลสะดวก และเป็นกิจวัตรที่ดีสำหรับไก่”

โดยทั่วไปแล้ว ในพื้นที่ 1 ตารางเมตร สามารถเลี้ยงไก่ได้ประมาณ 4 ตัว แต่ทั้งนี้ก็ปรับตามความเหมาะสมได้ หากมีบริเวณกว้างหน่อย กลางวันสามารถปล่อยให้เดินเล่นอย่างอิสระ และพอกลางคืนก็เก็บเข้าบ้านนอน เพื่อความปลอดภัยและความเป็นระเบียบ

แต่หากเป็นบ้านจัดสรรหรือพื้นที่ชุมชน ไม่แนะนำให้เลี้ยงตัวผู้ เพราะเสียงขันอาจทำให้เพื่อนบ้านไม่สบายใจ ทางที่ดีควรเลี้ยงเฉพาะ ตัวเมีย ก็เพียงพอแล้ว แถมยังได้ไข่ไว้ทานเองทุกวันอีกด้วย

ก้าวต่อไปของ Daylight

Daylight ตั้งใจพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ ๆ เข้ามาเสริมทุกปี เพื่อสร้างความหลากหลาย และเป็นแรงบันดาลใจให้คนรุ่นใหม่ที่อยากเริ่มเลี้ยงไก่ไข่สี“สิ่งสำคัญคือ ต้องมีใจรัก มีพื้นที่ให้เขาได้เล่นดิน ได้ใช้ชีวิตธรรมชาติ และที่เหลือคือความใส่ใจ”

ถ้าใครสนใจจริงๆ อยากเลี้ยงไก่ไข่สีพาสเทล สามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ Facebook : Daylight ไข่พาสเทล

หรือรับชมหาข้อมูลเพิ่มได้ที่ TikTok: @daylight7066

เรื่อง: สุธินี สุปรีดิ์วรกิจ

ภาพ: นันทิยา บุษบงค์

เล้าไก่ RE-USE แบ่งสัดส่วนพื้นที่ให้เป็นบ้านไก่อารมณ์ดี

The Florimel Garden น้ำผึ้งหวานในสวนที่เกิดจากฝันเดียวกัน

เทคนิคเลี้ยงไก่และเลือกพันธุ์ไก่ ให้ออกไข่ทุกวัน