ดินทราย ถือว่าเป็นความท้าทายของเกษตกร เนื่องจากเป็นดินที่น้ำ และ ธาตุอาหารสามารถซึมผ่านได้อย่างรวดเร็ว แต่กักเก็บธาตุอาหารได้น้อย ทำให้พืชขาดน้ำและสารอาหารได้ง่าย มีปริมาณอินทรียวัตถุต่ำ ส่งผลให้ความอุดมสมบูรณ์ของดินอยู่ในระดับที่ต่ำ ทำให้เกิดข้อสงสัยที่ว่า ดินทรายปลูกอะไรได้บ้าง
เพื่อแก้ข้อสงสัยจากคำถามที่ว่า ดินทรายปลูกอะไรได้บ้าง ต้องอาศัยความรู้ และ ความเข้าใจในลักษณะของดินทราย และ วิธีการปรับปรุงดิน การเลือกชนิดพืชที่เหมาะสม รวมถึงการดูแลพืชที่ปลูกบนดินทรายให้เจริญเติบโตได้ดี ทั้งนี้ ก็เพื่อเปลี่ยนดินทรายที่ดูเหมือนจะเป็นข้อจำกัด ให้กลายเป็นพื้นที่การเกษตรที่ให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง และ คุ้มค่าได้
ดินทรายมีลักษณะอย่างไร
ดินทราย เป็นดินที่มีทรายเป็นองค์ประกอบเป็นส่วนใหญ่ หรือมากกว่า 85% ขององค์ประกอบทั้งหมด และ พอสัมผัสดินทรายขณะที่แห้งอยู่จะรู้สึกสากมือ และเมื่อกำดินแล้วแบออก ดินจะแตกออกจากกัน เนื่องจากเนื้อดินไม่เกาะกัน มีการระบายอากาศและน้ำได้ดีมาก ทำให้มีความสามารถในการอุ้มน้ำต่ำ และ ความสามารถในการยึดเกาะของธาตุอาหารต่ำด้วยเช่นกัน จึงส่งผลให้ธาตุอาหารต่างๆ สูญเสียและถูกพัดพาไปตามน้ำได้ง่าย จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ดินทรายมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ พืชที่เจริญเติบโตบนดินทรายจึงมักเกิดอาการขาดธาตุอาหารและน้ำได้ง่าย
นอกจากนี้ดินทรายยังมีปัญหาเกี่ยวกับการชะล้างพังทลายของดิน เนื่องจากอนุภาคของดินเกาะกันอย่างหลวมๆ ทำให้เกิดปัญหาตามมา ได้แก่ มีผลกระทบทำให้แม่น้ำลำธาร เขื่อน บ่อน้ำ เกิดการตื้นเขินขึ้นได้
การปรับปรุงดินทรายให้เป็นดินดี
สำหรับแนวทางในการฟื้นฟูดินทรายในแปลงเกษตรขนาดใหญ่ จะนิยมปลูกปุ๋ยพืชสด เพื่อเติมแร่ธาตุกลับเข้าสู่ดิน โดยจะนิยมเลือกปลูกพืชตระกูลถั่วที่มีไรโซเบียมอาศัยอยู่ในราก จึงช่วยในการตรึงไนโตรเจนไว้ในต้นได้ และเมื่อทำการบดสับและไถกลบ ซากพืชจะแทรกตัวอยู่ในดิน ทำหน้าที่เป็นฟองน้ำที่ช่วยกักเก็บน้ำและธาตุอาหารได้ดี ช่วยอุดข้อด้อยของดินทรายที่ไม่สามารถอุ้มน้ำไว้ได้ รวมถึงช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดินไปพร้อมๆ กัน รวมถึงการรองก้นหลุมปลูกด้วยปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก เพื่อเพิ่มธาตุอาหารให้แก่พืช
สำหรับแปลงปลูกขนาดเล็กถึงปานกลาง ที่สามารถปรับปรุงวัสดุปลูกได้ ให้เน้นปรับปรุงดินด้วยวัสดุปลูกที่มีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้ดี เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยมูลไส้เดือน อัตราส่วน 1-2 กิโลกรัม และขุยมะพร้าว 1 กิโลกรัมต่อแปลงปลูก 1 ตารางเมตร อาจใช้ขี้เถ้าแกลบ ขี้เลื่อย หรือเศษใบไม้แห้งแทนขุยมะพร้าวก็ได้ คลุกเคล้าให้เข้ากันหมักทิ้งไว้ 15 วัน จะทำให้ดินมีความสามารถในการอุ้มน้ำได้ดีขึ้นและมีปริมาณธาตุอาหารมากขึ้นด้วย
ดินทรายปลูกอะไรดี
เนื่องจากดินทรายเป็นดินที่มีคุณสมบัติไม่สามารถอุ้มน้ำได้ดีเท่ากับดินประเภทอื่น จึงควรเลือกปลูกพืชที่ไม่ต้องการน้ำมาก หรือสามารถทนแล้งได้ดีระดับหนึ่ง แต่ไม่ใช่ว่าไม่ต้องการน้ำเลย ได้แก่
- พืชผักสวนครัว – คะน้า ผักกาดหอม แตงกวา มะเขือเทศ มะระ แครอท มันฝรั่ง หัวไชเท้า ฟักทอง มะระ ถั่วฝักยาว พริก สะเดา แค มะรุม มะกรูด ขมิ้น ข่า มะเขือ หน่อไม้ฝรั่ง
- ไม้ผลและไม้ยืนต้น – มะม่วง พุทรา มะเดื่อฝรั่ง น้อยหน่า ฝรั่ง ขนุน มะละกอ อินทผลัม แก้วมังกร สับปะรด มะขาม มะม่วงหิมพานต์
- พืชไร่ – มันสำปะหลัง มะพร้าว ไผ่ มะพร้าว กล้วย ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ อ้อย ถั่วต่างๆ
ดินทรายปลูกอะไรได้บ้าง : แนวทางการดูแลพืชที่ปลูกในดินทราย
นอกเหนือจากการปรับปรุงโครงสร้างดินให้เพิ่มความสามารถในการอุ้มน้ำแล้ว การเลือกวิธีดูแลพืชให้เหมาะสมระหว่างปลูกก็สำคัญไม่แพ้กัน โดยสามารถนำไปปฏิบัติตามได้ตามนี้
1.ใส่ปุ๋ยทีละน้อยแต่ใส่บ่อยครั้ง
เนื่องจากดินทรายมีความสามารถในการอุ้มน้ำและธาตุอาหารต่ำ ธาตุอาหารจึงไม่กักเก็บอยู่ภายในดินได้อย่างมีประสิทธฺภาพ เพราะถูกชะล้างได้ง่าย การใส่ปุ๋ยทีละน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง จึงให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า
2.การคลุมหน้าดิน
เพื่อป้องกันการชะล้างของอินทรีย์วัตถุบนผิวดินไม่ให้ไหลไปตามน้ำ รวมถึงช่วยกักเก็บความชื้นไม่ให้ระเหยไปจากผิวดินเร็วเกินไป การคลุมหน้าดินจึงสำคัญมากๆ สามารถใช้วัสดุอินทรีย์ อย่างฟางข้าว ใบไม้แห้ง หรือใช้พลาสติกคลุมหน้าดิน ก็สามารถเลือกใช้ได้เช่นกัน
3.การใช้ระบบน้ำให้เหมาะสม
เนื่องจากดินทรายมีความสามารถในการอุ้มน้ำต่ำ ถึงแม้จะให้น้ำในปริมาณที่มาก ไม่นานดินก็จะแห้งได้เร็วกว่าดินชนิดอื่น และทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรได้ การให้น้ำที่เหมาะสมกับดินประเภทนี้ ได้แก่ ระบบน้ำหยด สำหรับพืชไร่และพืชผักสวนครัว ระบบมินิสปริงเกลอร์สำหรับไม้ผลระยะ 5 เมตรขึ้นไป และไมโครสปริงเกลอร์สำหรับ พืชผักและไม้ผลระยะชิด การให้น้ำอย่างสม่ำเสมอในปริมาณครั้งละน้อยๆ แต่ให้บ่อยครั้ง จะช่วยให้ดินทรายมีความชื้นคงที่อย่างสม่ำเสมอ ช่วยลดการสูญเสียน้ำโดยไม่จำเป็น
4.การใช้พอลิเมอร์ (Polymer) รองก้นหลุมปลูกต้นไม้
พอลิเมอร์เป็นวัสดุที่มีคุณสมบัติในการดูดซับและกักเก็บน้ำได้ได้ 200-400 เท่า ของน้ำหนักแห้ง เพื่อให้รากพืชสามารถดูดน้ำออกมาใช้ประโยชน์ได้เรื่อยๆ โดยที่ไม่เป็นอันตรายต่อรากพืช เป็นแหล่งน้ำสำรองใต้ดิน ช่วยเพิ่มระยะห่างของการรดน้ำได้ อีกทั้งยังมีอายุการใช้งานที่ยาวนานถึง 2-3 ปี หลังจากนั้นจึงจะค่อยๆ ย่อยสลายไป